Oneshin

ทีม Burn Shell

สัมภาษณ์ "Oneshin" แชมป์ NAKSU 2010


รุ่นน้ำหนักไม่เกิน 75 กก.


  • : ได้ครองแชมป์นักสู้เป็นครั้งแรก รู้สึกอย่างไรบ้าง?
  • Oneshin

    รู้สึกดีใจและคุ้มค่ากับการฝึกซ้อมครับ เพราะนอกจากจะเป็นการพิสูจน์ฝีมือของตัวเองแล้ว ยังเป็นการพิสูจน์ความตั้งใจในการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้สำเร็จของตัวเราเองด้วยครับ

  • : คู่ต่อสู้ที่ทำให้คุณเหนื่อยมากที่สุด และอะไรที่ทำให้คุณประสบชัยชนะ?
  • Oneshin

    ในนักสู้ที่ผ่านมาทั้งหมดก็ต้องยกให้คมฤทธิ์ครับ เพราะนอกจากจะเป็นนักสู้ฝีมือดีแล้ว ยังมีพร้อมทั้งความขยัน และมีวินัยในการฝึกซ้อมเป็นอย่างมาก ในขณะที่ตัวเราเองในตอนนั้นเรียกว่าไม่ทำการบ้านมาเลย แถมยังฝึกซ้อมน้อยมาก และสารภาพตามตรงว่าตอนนั้นยังแอบคาดหวังว่า “แข่งๆไปเถอะ เดี๋ยวก็ลากมาทำให้ยอมแพ้ได้เอง” และสภาพก็เป็นอย่างที่เห็นครับ จนถึงตอนนี้ยังรู้สึกเสียใจอยู่ เพราะถ้าเราทำเต็มที่แล้วและแพ้ สิ่งที่เราต้องทำก็คือนั่งเสียใจไม่เกินสามวันและลุกไปฝึกต่อ แต่ถ้าเราแพ้เพราะเราทำตัวเอง อันนี้นอกจากเสียใจยังเสียดายอีกด้วย และความเสียดายนี่จะติดตัวเราไปอีกนานเลยครับ


    ในนักสู้ 2010 คู่ต่อสู้ที่ตึงมือที่สุดคงจะเป็นยุทธบาทาครับ อาจเป็นเพราะได้ฝึกซ้อมด้วยกันก่อนการแข่งขัน ทำให้พอคาดคะเนฝีมือของฝ่ายตรงข้ามได้ แต่พอถึงเวลาแข่งขันจริง ยุทธบาทากลับมีการพัฒนาจุดด้อยต่างๆขึ้นมาเยอะมาก ทำให้แผนที่คิดไว้ในหัวถึงกับเสียขบวนเลยทีเดียวครับ ...ซึ่งต่างกับรัชราช ที่ผมมีการเตรียมตัวมาค่อนข้างหนักกว่า......นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ยอดฝีมือจากกันสามวันต้องประเมินฝีมือใหม่ และอย่าตั้งอยู่ในความประมาทครับ


    ส่วนปัจจัยที่ทำให้ได้รับชัยชนะ ก็คือการฝึกซ้อมที่เพียงพอ และสติในเวลาแข่งขันครับ เพราะในการแข่งขันถือว่าเหนื่อยกว่าการฝึกซ้อมเป็นสิบๆเท่า ทั้งแรงกดดัน ทั้งเสียงรอบข้าง ทำให้เราต้องมีทักษะที่ดีเพียงพอ และมีสติที่มั่นคงในการนำทักษะที่มีออกมาใช้ครับ


    ส่วนปัจจัยพิเศษ ก็คือกำลังใจจากคุณพ่อคุณแม่ และเพื่อนๆครับ และพิเศษอีกหนึ่งอย่างก็คือที่ร่ายมายาวข้างบน ก็คือพี่คมฤทธิ์แหละครับ เพราะแพ้ในครั้งนั้น ถึงได้ศึกษาจากนักสู้ที่ประสบความสำเร็จ และเป็นบทเรียนให้ตัวเองมาจนวันนี้ได้ครับ

  • : เตรียมตัวก่อนแข่งอย่างไรบ้าง เน้นอะไรเป็นพิเศษ?
  • Oneshin

    จากที่ได้เคยแข่งขันนักสู้ในครั้งที่ผ่านๆมา ทำให้รู้จุดอ่อนของตัวเองมากขึ้น จึงมีการเพิ่มในส่วนของเกมการStrike เพื่อความเคยชินกับอาวุธของคู่ต่อสู้ และศึกษาเพิ่มเติมในทักษะที่มีอยู่ครับ ส่วนจุดที่เน้นเป็นพิเศษในปีนี้คือ เรื่องของ cardio เพื่อการไม่เหนื่อยในขณะแข่ง และเพิ่มการฝึกสมาธิครับ

  • : ช่วยบอกความแตกต่างของคู่ต่อสู้รุ่น -69 กับรุ่น -75
  • Oneshin

    ในรุ่น-69นักสู้ส่วนใหญ่มีจุดเด่นคือมีความสมดุลย์ในด้านความเร็วและพละกำลังครับ ซึ่งเรื่องความเร็วนี่เป็นจุดอ่อนอย่างใหญ่หลวงเลยก็ว่าได้ โดยส่วนตัวซึ่งน้ำหนักค่อนไปทางรุ่น -75อยู่แล้วจึงจำเป็นต้องฝึกหนักเป็นพิเศษในด้านนี้ และยังต้องควบคุมน้ำหนักอีกด้วย ....เพราะฉะนั้นจึงตัดสินใจเลื่อนมาลงรุ่นที่ไม่จำเป็นต้องห่วงพะวงในสองด้านข้างต้นมากแทนครับ ซึ่งในรุ่น-75 คู่ต่อสู้จะเน้นออกไปทางด้านพละกำลังมากขึ้น และความเร็วไม่เท่าในรุ่น -69 ซึ่งออกจะถนัดในรุ่นนี้มากกว่าครับ

  • : อยากป้องกันแชมป์ หรือเลื่อนรุ่นอีกหรือไม่?
  • Oneshin

    ตอนแรกก็แอบเพ้อฝันว่าจะเลื่อนขึ้นไปอีกรุ่นสนุกๆ แต่ออกจะเพ้อฝันเกินตัวไปหน่อยครับ ...อิอิ ซึ่งตอนนี้ก็อยากป้องกันแชมป์ แต่อีกใจหนึ่งก็อยากทำอย่างที่แอบกระซิบกับพี่คมฤทธิ์เอาไว้ ตอนเสร็จงานนักสู้ครับ ซึ่งจะขอคัดย่อบทสนทนามาไว้ ณ ที่นี้


    คมฤทธิ์ : วันนี้ทำดีนะ

    วันชิน : ขอบคุณครับพี่ แต่นี่ยังเคืองตาอยู่เลย

    คมฤทธิ์ : อ้าว เป็นอะไร เจ็บตาเหรอ?

    วันชิน : อ้อ เปล่าครับ ...คือแบบว่ายังไม่ได้ล้างตาอะ หุหุหุหุ


    ล้อเป้ามั้ยล่ะครับ

  • : จุดเริ่มต้นที่อยากเป็นนักสู้ และนักสู้ที่ชื่นชอบ?
  • Oneshin

    จุดเริ่มต้นที่อยากเป็นนักสู้น่าจะเป็นตั้งแต่ที่ได้ฝึกมวยจีนและยูโดอย่างจริงจังตอน ม.ปลาย ทำให้รู้จักสังคมของวงการศิลปะการต่อสู้มากขึ้น และได้รับมุมมองใหม่ๆจากนักศิลปะการต่อสู้รุ่นพี่ และอาจารย์ท่านต่างๆ ทำให้รู้สึกภูมิใจที่ได้ฝึกศาสตร์เหล่านี้และอยากเป็นส่วนหนึ่งในสังคมนี้ครับ ...ส่วนถ้าถามง่ายๆว่าทำไมอยากแข่งนักสู้ ก็เพราะเคยฝึกMMAจากอาจารย์และรุ่นพี่มาก่อน แต่สมัยก่อนไม่มีเวทีให้แข่งขันเลยไม่มีจุดหมาย พอมีเวทีนักสู้เลยรู้สึกมีเวทีให้แสดงออกครับ ....รวบรัดเข้าใจง่าย


    ส่วนนักสู้ที่ชื่นชอบก็คือ คังลี (Cung le)ครับ เพราะนอกจากเขาจะใช้วิชามวยจีน สานโส่ว เป็นหลักแล้ว จากที่เคยได้ดูสารคดีชีวิตของเขา โดยเฉพาะฉากแบกคนดำตัวใหญ่ขึ้นบันได ทำให้รู้ว่า ตำแหน่งไร้พ่าย (ในตอนนั้น)ไม่ได้เกิดจากพลังพิเศษเหนือธรรมชาติแต่อย่างใด แต่เกิดจากความขยันหมั่นเพียรล้วนๆครับ

  • : ชีวิตในวัยเด็กเป็นอย่างไรบ้าง?
  • Oneshin

    ชีวิตในวัยเด็กเป็นเด็กธรรมดาทั่วไปครับ โดนเพื่อนแกล้ง สู้เพื่อนไม่ได้ เล่นกีฬาก็ไม่เก่ง วิ่งตามลูกบอลไม่เคยทัน คุณแม่เลยพาไปเรียนยูโด ต่อมาก็กลับมาแกล้งเพื่อนบ้าง พอโตขึ้นก็รู้สึกเบื่อยูโดบ้างเนื่องจากในสมัยนั้นฝึกอย่างเด็กๆ ก็เลยมีการหนีไปสนใจ ด้านดนตรี ด้านศิลปะ ด้านภาษา จนต่อมามีอาจารย์ท่านหนึ่ง ได้แนะนำให้ไปพบกับอาจารย์อาวุโส และได้ฝึกยูโดอย่างจริงจังอีกครั้ง จากความสนุกก็เลยกลายเป็นความรักในการเล่นยูโด และรู้สึกว่าเราก็เล่นกีฬาได้เหมือนกัน

  • : หน้าที่การงานของคุณในปัจจุบัน?
  • Oneshin

    ปัจจุบันกำลังจะจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยกรุงเทพ นอกจากนั้นก็เป็นผู้ฝึกสอนของชมรมศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสานที่จุฬาฯครับ

  • : ความใฝ่ฝัน หรือสิ่งที่อยากทำในอนาคต?
  • Oneshin

    ในระยะใกล้ก็คงจะเป็นการไปศึกษาต่อครับ เพราะอยากกลับมาเป็นครูสอนภาษาจีน (ฝันแน่นอนขนาดนั้นเลยทีเดียว) แต่ความจริงแล้ว อยากไปฝึกซ้อมเพิ่มเติมกับนักMMAอาชีพที่จีนครับ และอยากกลับมาเปิดยิมสอนMMA เพราะปัจจุบันในสายตาของคนไทย MMAดูเป็นกีฬาอาชีพ และผู้ฝึกสอนรวมถึงผู้ฝึกก็มีแต่ชาวต่างชาติเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นที่กระอักกระอ่วนของชาวไทยอยู่ไม่น้อยในการเข้าไปฝึก จึงอยากเป็นกำลังหนึ่งที่ช่วยผลักดันให้กีฬาชนิดนี้เป็นกีฬาที่ทุกๆคนสามารถฝึกได้ครับ

  • : ช่วยกล่าวถึงผู้สนใจในศึกนักสู้ครั้งที่7 NAKSU MMA Thailand 2011
  • Oneshin

    นักสู้ เป็นรายการMMA ที่ถือว่าได้มาตรฐานที่สุดของไทยตอนนี้ก็ว่าได้ รวมทั้งยังเป็นระดับสมัครเล่น ซึ่งเปิดโอกาสให้นักสู้ทุกแขนงสามารถเข้าร่วมได้ ดังนั้นสำหรับใครที่สนใจ อยากแนะนำว่าให้สอบถามทีมงานได้ทันที แต่สิ่งสำคัญที่อยากฝากไว้คือไม่อยากให้คิดเพียงว่า แข่งเอามันส์ เอาสะใจไม่ต้องซ้อมอะไรมันเลยก็ได้ แต่อยากให้ฝึกซ้อมให้เต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นวิชาต่อสู้แขนงใดก็ตาม เพราะเมื่อขึ้นเวทีแล้วแพ้หรือชนะไม่ได้มีคุณค่าไปกว่า คุณทำเต็มที่แล้วหรือยัง หลังจากนั้นคุณจะรู้เองว่ามิตรภาพรอคุณอยู่ทั่วสนามผ้าใบสี่เหลี่ยมนั้นเลยครับ